เด็ก 5-11 ปี ได้ฉีดวัคซีนโควิดปลายเดือน ม.ค.นี้
เด็ก 5-11 ปี ได้ฉีดวัคซีนโควิดปลายเดือน ม.ค.นี้

เด็ก 5-11 ปี ได้ฉีดวัคซีนโควิดปลายเดือน ม.ค.นี้

เมื่อวันที่ 10 ม.ค. นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวในการเสวนา “โอมิครอน ร้ายจริงหรือ? ถึงต้องปิดโรงเรียน” ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า อัตราการติดเชื้อในเด็กอาจเพิ่มขึ้นจากเดิม แต่อัตราการป่วยและรุนแรงยังเท่าเดิม รวมถึงอัตราการเสียชีวิตยังคงที่ เพราะผู้ติดเชื้อที่เสียชีวิตส่วนใหญ่มาจาก 7 กลุ่มโรคเสี่ยงแลผู้สูงอายุ และยังไม่ได้รับวัคซีน แต่ในเด็กเรายังไม่เจอว่าเด็กติดเชื้อแล้วเสียชีวิตแต่อย่างใด

ส่วนเด็กวัยไหนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดนั้นเราพบว่า เด็กติดเชื้อเร็วแต่ความรุนแรงไม่มาก อีกทั้งการติดเชื้อรุนแรงในเด็กจะเกิดกับเด็กในกลุ่มโรคเสี่ยง เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง เป็นต้น ขณะที่เด็กกลุ่มอายุ 12 ปีขึ้นไป ได้รับวัคซีนแล้วกว่า 4 ล้านคน ซึ่งคิดว่าเด็กกลุ่มนี้มีภูมิคุ้มกันรุนแรงของโรคได้ ส่วนเด็กอายุระหว่าง 5-11 ปีได้เตรียมความพร้อมการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ไว้หมดแล้วระหว่าง สธ.กับ ศธ. โดยเป็นโดสเฉพาะสำหรับเด็กเล็กกลุ่มนี้เราวางแผนปลายเดือนม.ค.ได้เริ่มฉีดได้ ซึ่งขณะนี้มีผู้ปกครองยินยอมให้ฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปีมีอยู่ประมาณ 3 ล้านคน

เด็ก 5-11 ปี ได้ฉีดวัคซีนโควิดปลายเดือน ม.ค.นี้ 2

รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวอีกว่า สำหรับการเรียนออนไซต์หรือการเรียนที่โรงเรียนปกตินั้น ตนมองว่า เราได้มีการหารือร่วมกับทีมนักวิชาการจาก สธ.และศธ.เห็นควรให้เปิดเรียน เพราะสถานศึกษาเป็นที่แห่งสุดท้ายที่ควรจะปิดหากมีการระบาดของโรคเกิดขึ้น เนื่องจากสถานที่อื่นๆยังเปิดได้ตามปกติ แต่เรากลับมานั่งปิดโรงเรียน ทั้งที่โรงเรียนเป็นสถานที่ที่สามารถทำตามมาตรการได้ดีกว่าสถานที่เสี่ยงอื่น ๆ ดังนั้นตนหวังว่าหน่วยงานทีเกี่ยวข้องจะพิจารณาการเปิดสถานศึกษาได้ อย่างไรก็ตามเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคนี้ให้ได้ และที่สำคัญต้องสร้างเกราะป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน สวมใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อยๆ เพื่อลดความรุนแรงของโรค

ขณะที่ ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดศธ.กล่าวว่า สำหรับการฉีดวัคซีนกลุ่มเด็กอายุ 5-11ปีอยู่ในระบบการศึกษาของศธ. 5,200,000 ล้านคน ตนได้มอบให้ศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ประสานกับผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา ในการสำรวจกลุ่มเด็กจำนวนดังกล่าว ซึ่งข้อมูลล่าสุดมี 33 จังหวัดที่ผู้ปกครองยินยอมให้บุตรหลานฉีดวัคซีน ประมาณ 71% ส่วนที่เหลือยังไม่ให้ความยินยอมในการฉีดวัคซีน แต่เราไม่กังวลเพราะเชื่อมั่นว่าเมื่อเด็กที่เข้ารับการฉีดวัคซีนแล้วเห็นเพื่อนไม่มีอาการข้างเคียงก็จะลงทะเบียนฉีดวัคซีนเพิ่มเติมภายหลังได้

ขอบคุณที่มา : Facebook At_HeaR ข่าวจริงเข้าหู

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่