คณะอนุกรรมาธิการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู แบ่งครูเป็นหนี้ 3 กลุ่ม – ลดดอกเบี้ยเงินกู้ไม่เกินร้อยละ 4 ช่วยครูหนี้วิกฤติ
คณะอนุกรรมาธิการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู แบ่งครูเป็นหนี้ 3 กลุ่ม – ลดดอกเบี้ยเงินกู้ไม่เกินร้อยละ 4 ช่วยครูหนี้วิกฤติ

คณะอนุกรรมาธิการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู แบ่งครูเป็นหนี้ 3 กลุ่ม – ลดดอกเบี้ยเงินกู้ไม่เกินร้อยละ 4 ช่วยครูหนี้วิกฤติ

ดร.ปรีดา บุญเพลิง ประธานคณะอนุกรรมาธิการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูในคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาและแนวทางบริหารจัดการปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีการสรุปสาเหตุการเกิดปัญหาหนี้สินครูและวิเคราะห์สาหตุของการเป็นหนี้ พบว่าหนี้สินครูโดยรวมอยู่ที่ สหกรณ์ออมทรัพย์ครู ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และจากสถาบันการเงินอื่น ๆ แบ่งครูที่เป็นหนี้ 3 กลุ่ม คือ 

1.กลุ่มหนี้ปกติ คือ ครูที่เป็นหนี้สามารถส่งคืนหนี้ได้ปกติทุกเดือน และมีเงินเดือนเหลือพอใช้จ่ายเพียงพอในแต่ละเดือนได้ปกติ มีจำนวนปานกลางจากจำนวนครูที่เป็นหนี้ทั้งหมด 

2.กลุ่มหนี้ที่กำลังเข้าขั้นวิกฤติ คือ ครูที่เป็นหนี้สามารถส่งคืนได้ปกติทุกเดือน แต่ไม่มีเงินเหลือเพียงพอที่จะใช้จ่ายแต่ละเดือน ต้องวิ่งหากู้ยืมเงินนอกระบบมาใช้จ่ายให้เพียงพอ ซึ่งในกลุ่มนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี 

3.กลุ่มหนี้เข้าขั้นวิกฤติ คือ ครูที่เป็นหนี้ไม่สามารถส่งคืนเงินกู้ได้ปกติ เงินใช้แต่ละเดือนไม่เพียงพอ ส่วนใหญ่ตกเป็นภาระผู้ค้ำประกันหนี้ ต้องรับภาระชำระหนี้แทน กลุ่มนี้แม้จะมีน้อย แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี

ประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ กล่าวอีกว่า จากสาเหตุ และสภาพหนี้ปัจจุบันของการเป็นหนี้ดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน ขาดการยอมรับนับถือในสังคม การแก้ปัญหาหนี้จึงจำเป็นต้องแก้ไขอย่างเป็นระบบ และการจะทำให้เกิดประสิทธิผลได้นั้น คงไม่สามารถดำเนินการกับกลุ่มครูที่เป็นหนี้ทั้งหมดในคราวเดียวกันได้ เพราะครูที่เป็นหนี้มีเป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องเริ่มต้นที่กลุ่มครูที่เป็นหนี้วิกฤติก่อนแล้วจึงขยายผลไปยังกลุ่มอื่น โดยระยะเร่งด่วนให้ดำเนินการกับกลุ่มหนี้เข้าขั้นวิกฤติ ซึ่งถูกฟ้องร้องบังคับคดียืดทรัพย์ หรืออาจนำไปสู่การเป็นบุคคลล้มละลาย ควรได้รับการแก้ไขโดยเร็ว ตามมาตรการ ดังนี้ 

1.การประนอมหนี้ หรือปรับโครงสร้างหนี้แก่ครูที่เป็นหนี้ขั้นวิกฤติ และกำลังเข้าขั้นวิกฤติ มีการกำหนดแผนการชำระหนี้และเจรจาประนอมหนี้ 

2.รัฐต้องพักชำระหนี้ให้แก่ครู อย่างน้อย 2 ปี หรือยืดระยะเวลาการชำระหนี้ตามความเหมาะสม 

3.ลดดอกเบี้ยเงินกู้ไม่เกินร้อยละ 4 บาทต่อปี

ดร.ปรีดา กล่าวต่อไปว่า สำหรับการแก้ปัญหาระยะยาว 

1.เสนอให้มีการเพิ่มรายวิชาในหลักสูตรการเรียนครู คือวิชาเศรษฐศาสตร์การเงิน การลงทุน การดำเนินชีวิตด้วยวิถีเศรษฐกิจแบบพอเพียง ปลูกฝังจิตสานึก ความรับผิดชอบต่อวิชาชีพ และสังคม ให้กับนักศึกษาครู 

2.กระบวนการผลิตครู รัฐต้องกำหนดให้มีสถาบันการผลิตครูโดยตรง กระจายอยู่ภูมิภาคต่าง ๆ จบแล้วสามารถบรรจุรับราชการครูในท้องถิ่นของตนเองได้ทันที ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาการบรรจุห่างไกลภูมิลำเนา 

3.ให้กระทรวงศึกษาธิการกำหนดหลักสูตรและสนับสนุนงบประมาณเพื่อการพัฒนา บุคคลก่อนบรรจุแต่งตั้งครูผู้ช่วย เพื่อหล่อหลอมและเพิ่มพูนประสบการณ์ให้ผู้ที่จะบรรจุครูผู้ช่วย 

4.การจัดสวัสดิการ สวัสดิภาพครู รัฐต้องจัดโดยเท่าเทียมกับอัยการ ทหาร ตำรวจ มีสวัสดิการเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้ เช่น ค่าสอนล่วงเวลา ค่าสอนเกินชั่วโมงที่กำหนด ค่าเบี้ยเลี้ยงพาหนะในการไปราชการ เป็นต้น 

5.รัฐต้องปรับปรุงอัตราเงินเดือนครู โดยให้ฐานเงินเดือนครูเริ่มต้นควรเพียงพอต่อการดำรงชีวิตประจาวัน 

6.รัฐควรลดภาระงานครูให้เหลือแต่หน้าที่สอนอย่างเดียว 

7.ปรับปรุงพระราชกฤษฎีกค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ.2547 และแก้ไขเพิ่มเติมในท้องถิ่นอำเภอ หรือ เขต ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของตัวเองได้

“ทั้งนี้เพื่อให้การขับเคลื่อนแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินครูทั้งระบบประสบความสำเร็จโดยเร็ว ที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ จึงมีความเห็นให้มีการออกรับข้อมูลจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องวิชาชีพครู และเครือข่ายพัฒนาวิชาชีพครูทั่วประทศใน 4 ภูมิภาค เพื่อหลอมรวมปัญหาและแก้ไขปัญหาครั้งสุดท้ายภายในเดือน ธ.ค.นี้ ก่อนเสนอแนวทางให้คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณา และเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป” ดร.ปรีดา กล่าว. 

ขอบคุณที่มาและติดตามได้ที่ : Facebook เพจ At_HeaR ข่าวจริงเข้าหู

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่