มติ ครม.เยียวยาว่างงาน-ลดจ่ายสมทบประกันสังคม 3 เดือน
มติ ครม.เยียวยาว่างงาน-ลดจ่ายสมทบประกันสังคม 3 เดือน

มติ ครม.เยียวยาว่างงาน-ลดจ่ายสมทบประกันสังคม 3 เดือน ล่าสุดวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ที่ประชุม ครม. มีมติมติเห็นชอบ จ่ายเยียวยาผู้ประกันตนว่างงานจากโควิด-19 เริ่ม 19 ธ.ค. 63 พร้อมไฟเขียว ลดส่งเงินสมทบประกันสังคม 3 เดือน 1 ม.ค. – มี.ค. 64 เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรอีก 200 บาท

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า มีหลายเรื่องที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับสถานการณ์โควิด-19 เรื่องแรกร่างกฎกระทรวงที่เป็นการดูแลประชาชนซึ่งเป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ณ วันนี้มีอยู่ประมาณ 12 ล้านคน โดย ครม. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ ซึ่งกระทรวงแรงงานเคยออกมาแล้วครั้งหนึ่ง ที่เป็นการจ่ายเงินเยียวยาและให้สิทธิประโยชน์ผู้ประกันตนกรณีว่างงาน ในอัตราร้อยละ 62 ของค่าจ้างรายวัน ให้ตลอดระยะเวลาที่ไม่ได้ทำงานแต่ไม่เกิน 90 วัน ตั้งแต่ มี.ค. – ส.ค. 2563

ทั้งนี้ จากสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ วันนี้ ครม. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงอีกครั้งในลักษณะเดิม มีสาระสำคัญว่า กำหนดให้กฎกระทรวงนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. 2563 และนิยามของเหตุสุดวิสัยที่จะให้มีการจ่ายเงินทดแทนได้ หมายถึง ภัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่อันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ ซึ่งมีผลกระทบต่อสาธารณชน และถึงขนาดที่ให้ผู้ประกันตนไม่สามารถทำงานได้ หรือนายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ การกำหนดให้มีกรณีเหตุสุดวิสัยและหน่วยงานของรัฐสั่งปิดพื้นที่เพื่อป้องกันการระบาดของโรคติดต่ออันตราย อันส่งผลให้ลูกจ้าง ผู้ประกันตน ไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น ลูกจ้างดังกล่าวมีสิทธิได้รับผลประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการประกันสังคม โดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่สั่งปิดพื้นที่ ภายในระยะเวลา 1 ปีปฏิทินจะมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนดังกล่าวทุกครั้งรวมกันแล้วไม่เกิน 90 วัน

ทางด้าน กระทรวงแรงงาน คาดว่า ร่างกฎกระทรวงนี้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนผู้ประกันตนในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงถูกปิดกิจการ เช่น สมุทรสาคร สมุทรปราการ กทม. นนทบุรี นครปฐม ราชบุรี และสมุทรสงคราม คาดว่าจะมีผู้ประกันตนที่จะได้รับค่าทดแทน 5.7 ล้านคน คิดเป็นเงิน 5,225 ล้านบาท เพื่อให้ความมั่นใจว่าหากมีการให้ปิดกิจการชั่วคราวจากโควิด-19 รัฐบาลก็พร้อมที่จะจ่ายเงินกองทุนประกันสังคมเพื่อเยียวยาดูแล

เรื่องที่สอง ร่างกฎกระทรวงอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม โดยเป็นการลดการจ่ายเงินสมทบเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายทั้งผู้ประกอบการและผู้ประกันตน จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. เป็นต้นไป ถึง มี.ค. 2564 กำหนดให้รัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ออกเงินสมทบเข้ากองทุนเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทน ดังนี้

กรณีประสบอันตราย ทุพพลภาพ เสียชีวิต และคลอดบุตร

  • รัฐบาลจ่ายอัตราเงินสมทบ 1.05% จากเดิม 1.5%
  • นายจ้างจ่ายสมทบ 1.05% จากเดิม 1.5%
  • ผู้ประกันตน จ่ายสมทบ 1.05% จากเดิม 1.5%

กรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ

  • รัฐบาลจ่ายอัตราเงินสมทบ 1.45% จากเดิม 1%
  • นายจ้างจ่ายสมทบ 1.85% จากเดิม 3%
  • ผู้ประกันตนจ่ายสมทบ 1.85% จากเดิม 3%

กรณีว่างงาน

  • รัฐบาลจ่ายอัตราเงินสมทบเท่าเดิมคือ 0.25%
  • นายจ้างจ่ายสมทบ 0.1% จากเดิม 0.5%
  • ผู้ประกันตนจ่ายสมทบ 0.1% จากเดิม 0.5%

น.ส.รัชดา ยังย้ำด้วยว่าจะเป็นการลดภาระได้มาก ซึ่งจากการประมวลค่าใช้จ่ายทั้งหมดกรณีลดอัตราเงินสมทบงวดเดือน ม.ค. – มี.ค. 2564 จะส่งผลให้ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบลดลงในภาพรวม 8,248 ล้านบาท จากเดิมที่ต้องจ่าย 12,634 ล้านบาท ส่วนนายจ้างจ่ายลดลง 7,142 ล้านบาท จากเดิม 11,118 ล้านบาท อีกทั้งจะส่งผลดีต่อผู้ประกันตนทำให้สามารถนำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายช่วยเสริมภาพคล่องได้ประมาณ 460-900 บาทต่อคน และนายจ้างก็มีสภาพคล่องมากขึ้น แต่ทั้งนี้ ก็จะมีผลต่อเงินออมบำนาญของผู้ประกันตน ซึ่งจะลดลงประมาณ 1,035 บาท และส่งผลต่อสถานะของกองทุนประกันสังคม และทางกองและรัฐบาลจะมีการวางแผนในระยะยาวต่อไป

เรื่องที่สาม ร่างกฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร รัฐบาลพบว่าครอบครัวที่มีเด็กเล็กจะประสบปัญหาและได้รับผลกระทบสภาวะทางเศรษฐกิจ เพราะมีค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่มมากขึ้น บางครอบครัวแม่อาจจะต้องหยุดงานหรือออกจากการทำงานในขณะที่รายจ่ายยังมีเท่าเดิมหรือเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการบรรเทาภาระ คณะกรรมการประกันสังคม เสนอกระทรวงแรงงานและเสนอมายัง ครม. เพื่อให้เห็นชอบในการปรับเพิ่มประโยชน์ทดแทน ซึ่ง ครม. เห็นชอบแล้วในวันนี้

1. เพิ่มอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรเหมาจ่าย จากเดิม 600 บาท/เดือน/บุตร 1 คน เป็น 800 บาท/เดือน/บุตร 1 คน
2. กำหนดให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2564 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม ผู้ใดมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรตามกฎกระทรวงการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร มีสิทธิ์ได้รับแบบเหมาจ่ายด้วย นับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้มีผลบังคับใช้.

ขอบคุณที่มาของข่าวและอ่านต่อ : เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ วันที่ 22 ธันวาคม 2563

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่